การประกอบธุรกิจการค้าอาจดำเนินการได้หลายรูปแบบ ทั้งโดยบุคคลคนเดียวเป็นเจ้าของกิจการโดยลำพัง หรืออาจดำเนินการโดยร่วมลงทุนกับบุคคลอื่นเป็นกลุ่มคณะก็ได้ การที่จะตัดสินใจเลือกดำเนินธุรกิจการค้าในรูปแบบใดนั้น ผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบที่สำคัญหลายประการด้วยกัน เช่น ลักษณะของกิจการค้า เงินทุน ความรู้ความสามารถในการดำเนินธุรกิจเป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้การประกอบธุรกิจนั้นประสบผลสำเร็จ นำมาซึ่งผลประโยชน์และกำไรสูงสุด อันนี้เป็นข้อแนะนะในการตัดสินใจว่า จะทำการค้ารูปแบบใด

“อยากมีธุรกิจหรือกิจการเป็นของตนเอง จะจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจแบบไหนดี ?”

แหม!!! ชั่งเป็นคำถามยอดฮิตเสียจริง กับหลายๆคนที่อยากทำธุรกิจหรือกิจการเป็นของตนเอง แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า การเริ่มต้นทำธุรกิจโดยการเป็นธุรกิจของประเภทหรือในรูปแบบบุคคลธรรมดา คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัด มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร
รูปแบบธุรกิจข้างต้นต่างมีทั้งส่วนดีส่วนเสีย ขึ้นกับความเหมาะสมของขนาดและประเภทธุรกิจ ดังนั้นก่อนการเริ่มต้นธุรกิจ เจ้าของธุรกิจควรตัดสินใจว่า ควรจะจัดตั้งธุรกิจแบบใดจึงจะเหมาะสมกับธุรกิจของท่าน เพื่อให้กิจการมีต้นทุนต่ำและมีกำไรสูงสุด ลองพิจารณาดูนะคะ

1. ธุรกิจบุคคลธรรมดา เป็นเจ้าของกิจการเพียงคนเดียว ไม่ได้ร่วมลงทุนกับบุคคลอื่น ทำให้มีอิสระในการดำเนินงานและการตัดสินใจได้อย่างเต็มที่ ผลกำไรที่เกิดขึ้นก็ไม่ต้องแบ่งให้ใคร แต่เจ้าของธุรกิจจะต้องรับผิดชอบในหนี้สินของกิจการที่เกิดขึ้นไม่จำกัดจำนวน
การจัดทำบัญชีและเสียภาษี ข้อดีของธุรกิจบุคคลธรรมดาคือไม่ต้องยุ่งยากในการจัดทำบัญชี แต่ต้องเสียภาษีในอัตราก้าวหน้าตามฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

2. ธุรกิจประเภท ห้างหุ้นส่วน ลักษณะของห้างหุ้นส่วน มาตรา 1012 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่า “อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคล ตั้งแต่สองคนขึ้นไป ตกลงเข้ากัน เพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น”
ดังนั้นตามกฎหมายห้างหุ้นส่วนจะต้องมีลักษณะสำคัญดังนี้
1. ต้องมีบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป เข้ามาเป็นหุ้นส่วน จะนำทุนมาเข้าหุ้นกันมากน้อยเท่าใดก็ได้
2. ตกลงเข้ากัน คือ บุคคลที่จะเข้าร่วมประกอบกิจการได้ทำสัญญาตกลงกันว่าจะประกอบการค้าร่วมกัน การตกลงกันนั้น จะต้องมีการแสดง เจตนาโดยแจ้งชัด อาจจะทำเป็นสัญญาปากเปล่า หรือ ลายลักษณ์อักษร ก็ได้ว่าจะเข้าเป็น “ห้างหุ้นส่วน” ทุนที่จะนำมาลง ได้แก่ เงินสด ทรัพย์สินอย่างอื่น หรือ แรงงาน คือ ใช้กำลัง สติปัญญา ความคิดแรงกายแทน
3. เพื่อการทำกิจกรรมร่วมกัน คือคู่สัญญา จะต้องมาร่วมแรงรวมใจและร่วมทุกข์กันเพื่อทำการตามที่ได้ตกลงไว้
4. เพื่อประสงค์กำไร คือ เป็นการตกลงใจทำงาน โดยมีจุดหมายปลายทางเพื่อผลกำไร อันได้เกิดจากกิจการที่ทำนั้น และผลกำไรจะได้นำมาแบ่งกัน ระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน แต่ถ้ากิจการไม่หวังผลกำไร กิจการนั้นไม่ถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วน

ห้างหุ้นส่วนแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1.ห้างหุ้นส่วนสามัญ (ไม่จดทะเบียน)
2.ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล (จดทะเบียน)
3.ห้างหุ้นส่วนจำกัด (ต้องจดทะเบียนเท่านั้น)

ห้างหุ้นส่วนสามัญ(ไม่จดทะเบียน) เป็นการตกลงทำกิจการร่วมกันและแบ่งกำไรกันระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วน หุ้นส่วนทุกคนจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในหนี้สินของกิจการโดยไม่จำกัดจำนวน ซึ่งห้างหุ้นส่วนชนิดนี้กฏหมายไม่ได้บังคับให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จึงเสมือนมีสภาพเป็นคณะบุคคล ซึ่งหากเลือกจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจะเรียกว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล” ซึ่งความรับผิดในหนี้ของหุ้นส่วน จะจำกัดเพียง 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ออกจากการเป็นหุ้นส่วนเท่านั้น และส่วนใหญ่ไม่เป็นที่นิยมจดทะเบียนกัน
การจัดทำบัญชีและเสียภาษี การจัดทำบัญชีและเสียภาษี ไม่ต้องยุ่งยากในการจัดทำบัญชี เหมือนกรณีบุคคลธรรมดา แต่การเสียภาษีเงินได้ของคณะบุคคลจะเสียภาษีเงินได้เหมือนกับบุคคลธรรมดาที่แยกออกจากตัวบุคคล ถือเป็นบุคคลอีกคนหนึ่งตามมาตรา 56 วรรค(2) ของประมวลรัษฏากร นอกจากนี้เงินส่วนแบ่งกำไรจากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ด้วย

ห้างหุ้นส่วนสามัญ (จดทะเบียน) การจัดตั้งห้างหุ้นส่วนชนิดนี้ เมื่อได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฏหมาย กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะเรียกว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล” ซึ่งความรับผิดในหนี้ของหุ้นส่วน จะจำกัดเพียง 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ออกจากการเป็นหุ้นส่วนเท่านั้น และส่วนใหญ่ไม่เป็นที่นิยมจดทะเบียนกัน
การจัดทำบัญชีและเสียภาษี มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีเหมือนกรณีตั้งบริษัท และเสียภาษีตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิ

ห้างหุ้นส่วนจำกัด การประกอบการในลักษณะนี้จะต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย และต้องใส่คำว่า “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” ไว้หน้าชื่อห้างเสมอไปด้วย เช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัดสินไทย โดยต้องมีผู้เป็นหุ้นส่วน ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และต้องประกอบด้วยหุ้นส่วนอยู่ 2 ประเภทคือ
1. ประเภทจำกัดความรับผิดชอบ หมายถึงเป็นหุ้นส่วน จำกัดความรับผิดชอบในหนี้สินที่เกิดขึ้น ไม่มีสิทธิเป็นผู้จัดการ
2. ประเภทไม่จำกัดความรับผิดชอบ การไม่จำกัดความรับผิดชอบ หมายถึง ไม่จำกัดหนี้สินที่เกิดขึ้นทุกกรณีของห้างหุ้นส่วนและมีสิทธิที่เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างฯ
ส่วนเรื่องการเบิกจ่ายเงินกับธนาคารของห้างฯ ก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างหุ้นส่วนกันเองแล้วไปแจ้งกับธนาคาร ไม่เกี่ยวกับการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน
ข้อดีของห้างหุ้นส่วนจำกัด
1. รวบรวมเงินทุน ความรู้ความสามารถจากผู้เป็นหุ้นส่วนได้มากขึ้น
2. ผู้มีเงินทุนยินดีจะลงทุนร่วมด้วย โดยเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด ทำให้พ้นภาระรับผิดชอบในหนี้สินแบบลูกหนี้ร่วม
3. สามารถจะระดมบุคคลที่มีความเชียวชาญในสาขาใด ๆ มาเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดได้
4. ได้รับความเชื่อถือจากบุคคลภายนอกมากขึ้น
5. เสียภาษีเงินได้แบบนิติบุคคล
6. เป็นที่นิยมจดทะเบียน
ข้อเสียของห้างหุ้นส่วนจำกัด
1. การจัดตั้งมีความยุ่งยากมากขึ้น
2. หุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดชอบ ต้องรับภาระหนี้สินไม่จำกัดจำนวน
3. เมื่อมีผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดตาย ล้มละลาย หรือลาออก ห้างหุ้นส่วนนั้นจะต้องเลิกกิจการและชำระบัญชีให้เรียบร้อย

การจัดทำบัญชีและเสียภาษี มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีเหมือนกรณีตั้งบริษัท และเสียภาษีตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิ

3. บริษัทจำกัด การจัดตั้งกิจการจะต้องมีผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 3 คน (ตามกฎหมายใหม่ เมื่อก่อนต้องมีผู้ก่อการและผู้ถือหุ้นอย่างน้อยเจ็ดคน) โดยการแบ่งเงินลงทุนออกเป็นหุ้น มีมูลค่าหุ้นละเท่าๆกัน ผู้ถือหุ้นจำกัดความรับผิดไม่เกินจำนวนค่าหุ้นที่ยังส่งไม่ครบ ดำเนินโดยคณะกรรมการบริษัท ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากกว่า

การจัดทำบัญชีและเสียภาษี มีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชี และเสียภาษีตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิ  

เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของการเลือกรูปแบบองค์กร ต่างๆ

รายละเอียด เจ้าของคนเดียว ห้างหุ้นส่วน บริษัท หมายเหตุ
1. เงินลงทุน มีเงินทุนจำกัด ระดมทุนได้มากขึ้น ระดมทุนได้ง่ายและมาก
2. การบริหารงาน มีอำนาจเต็มที่ ต้องปรึกษากับหุ้นส่วน,การตัดสินใจตามความเห็นของหุ้นส่วน บริหารโดยคณะกรรมการบริษัท, กรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้มีอำนาจ
3. ความรับผิดในหนี้สิน เต็มจำนวน เต็มจำนวน/จำกัด เฉพาะมูลค่าหุ้นที่ยังชำระไม่ครบ
4. ผลกำไรขาดทุน ไม่ต้องแบ่งใคร เฉลี่ยให้ผู้เป็นหุ้นส่วน จ่ายเป็นเงินปันผลตามจำนวนหุ้นที่ถือ
5. ภาษีเงินได้ ตามอัตราก้าวหน้า สูงถึง 37% ตามอัตราก้าวหน้า สูงถึง 37% ถ้าจดเป็นนิติฯ จะเสีย 15%-30% กรณีขาดทุนไม่ต้องเสียภาษี อัตราร้อยละ15-30% ของกำไรสุทธิ (SME เสียภาษีตามอัตราก้าวหน้า 15%-30%) ในกรณีขาดทุนไม่ต้องเสียภาษี ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล
6. ความน่าเชื่อถือ น้อย ปานกลาง มาก
7. อัตราค่าธรรมเนียม ประมาณ 50 บาท ประมาณ 1,050 บาท ประมาณ 5,000 บาท ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล
8. การจัดทำบัญชี ยื่น 90,91 ถ้ามีจด Vat ยื่น ภพ.30 ยื่น ภงด.50,51,ยื่น หัก ณ ที่จ่าย
ถ้าจด Vat ยื่น ภพ.30
ยื่น ภงด.50,51,ยื่น หัก ณ ที่จ่าย
ถ้าจด Vat ยื่น ภพ.30
9. ผู้รับรองบัญชี ไม่มี CPA หรือ TA CPA (CPA : Certified Public Accountant)ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
(TA : Tax Audittor) ผู้สอบบัญชีภาษีอากร

เป็นไงคะ ท่านพิจารณาแล้วเห็นกิจการประเภทไหนจะเหมาะสมกับธุรกิจของคุณ ลองพิจาณาดูนะคะ ขอให้ โชคดีคะ ร่ำรวยกันทุกๆคนคะ